บทความแนะนำ
เรื่องน่ารู้ คอลลาเจน คืออะไร? ทำมาจากอะไร และช่วยบำรุงผิวพรรณได้ยังไง
คงไม่มีสาวคนไหนที่ไม่รู้จักตัวช่วยดี ๆ อย่าง คอลลาเจน (Collagen) จริงไหม? คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของผิวหนังที่จะช่วยให้โครงสร้างผิวเราแข็งแรง มีความยืดหยุ่น เรียบเนียน ลดรอยเหี่ยวย่น ดูแลสุขภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้แล้วประโยชน์ของคอลลาเจนก็ยังมีอีกมากมาย จึงทำให้แบรนด์ต่าง ๆ นำคอลลาเจนมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว รวมถึงอาหารเสริม และเพื่อให้สาว ๆ ได้รู้จักกับ “คอลลาเจน” มากขึ้น เราจึงมีเรื่องราวที่น่ารู้เกี่ยวกับ คอลลาเจน คืออะไร? Hydrolyzed Collagen ทํามาจากอะไร? และคอลลาเจน ช่วยอะไรบ้าง ถ้างั้นไม่รอช้า…ติดตามอ่านไปพร้อมกันเลย
คอลลาเจนคืออะไร?
เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงต้องเคยได้ยินหรือพอรู้จักกับ “คอลลาเจน” กันมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักว่าคอลลาเจนคืออะไร เราจึงได้สรุปมาให้สั้น ๆ ดังนี้
- คอลลาเจน คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ
- องค์ประกอบหลักของผิวหนัง เส้นผม กระดูก เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
- โดยคอลลาเจนถือเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญของผิวหนัง ที่มีมากถึงร้อยละ 75 – 80
- มีคุณสมบัติเหมือนกับกาวที่คอยยึดเกาะและเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
- ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย
- เมื่อร่างกายมีปริมาณคอลลาเจนที่ลดน้อยลงหรือเสื่อมสภาพก็จะส่งผลต่อความชราของผิวหนัง
คอลลาเจนชนิดไหนที่สามารถพบได้บ่อยในร่างกาย
ตามปกติแล้วในร่างกายของคนเราจะมีคอลลาเจน (Collagen) มากกว่า 16 ชนิด โดยคอลลาเจนแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันไปตามชนิดและรูปแบบของกรดอะมิโน และคอลลาเจนที่สามารถพบมากที่สุด 5 ชนิดได้แก่
- คอลลาเจนประเภทที่ 1 (Collagen type I)
คอลลาเจนชนิดนี้จะมีมากสุดในร่างกาย หรือคิดเป็น 90% โดยสามารถพบได้ที่ผิวหนัง และกระดูก จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันเนื้อเยื้อไม่ให้ฉีกขาด และช่วยสมานแผลบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
- คอลลาเจนประเภทที่ 2 (Collagen type II)
คอลลาเจนชนิดนี้จะมีอยู่ประมาณ 60% ในร่างกาย โดยส่วนมากก็จะพบคอลลาเจนได้ในกระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ กระดูกอ่อน และหมอนรองกระดูกสันหลัง จึงค่อนข้างมีความยืดหยุ่นมากกว่าคอลลาเจนชนิดที่ 1 และทำหน้าที่ช่วยสร้างกระดูกอ่อนขึ้นมาใหม่ ช่วยลดการอักเสบ สามารถรองรับน้ำหนักเพื่อให้ความแข็งแรงแก่ข้อต่อในขณะที่มีการเคลื่อนไหว จึงช่วยลดอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อได้
- คอลลาเจนประเภทที่ 3 (Collagen type III)
คอลลาเจนชนิดที่ 3 โดยส่วนมากจะพบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 แต่พบได้น้อยกว่าประมาณ 10% โดยส่วนใหญ่จะพบคอลลาเจนอยู่ในผนังหลอดเลือด และสามารถพบได้ในผิวหนัง กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และหลอดเลือดแดง ซึ่งคอลลาเจนชนิดที่ 3 ทำหน้าที่ในการสร้างมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพและลดอาการบาดเจ็บในขณะออกกำลังกาย อีกทั้งยังช่วยในการสังเคราะห์เกล็ดเลือดอีกด้วย
- คอลลาเจนประเภทที่ 4 (Collagen type IV)
คอลลาเจนชนิดที่ 4 เป็น คอลลาเจน (Collagen) มีลักษณะเฉพาะตัว สามารถพบได้เฉพาะบริเวณเส้นใยฝอยของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน โดยทำหน้าที่ช่วยในเรื่องการทำงานของของระบบประสาทและเส้นเลือด
- คอลลาเจนประเภทที่ 5 (Collagen type V)
คอลลาเจนชนิดที่ 5 เป็น คอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ พบในผิวของเซลล์ เส้นผม และรก
ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน (Collagen) มีกี่ชนิด
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน (Collagen) ได้รับความนิยมเลือกใช้กันมาก ทำให้แบรนด์ชั้นนำได้นำคอลลาเจนมาเป็นผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ เนื่องจากคอลลาเจน (Collagen) นั้นจะไม่สามารถนำมารับประทานได้โดยตรง เพราะว่ามีขนาดและความหนาแน่นที่สูงมาก ดูดซึมได้ยาก จึงจำเป็นที่จะต้องผ่านกระบวนการแปรรูปให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ได้จากคอลลาเจน (Collagen) ทั่วไปมีด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้
1. เจลาติน (Gelatin)
เจลาติน คือ สารให้ความหนืดชนิดหนึ่ง โดยส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในภาคอุตสาหกรรมอาหารและยาในหลากหลายรูปแบบ โดยเป็นสารสร้างเจล สารที่ช่วยให้มีความใสในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม สารช่วยในการยึดเกาะ อิมัลซิไฟเออร์ สารที่ทำให้ความคงตัว สารยึดติด และสารให้ความข้นหนืด เป็นต้น ลองมาดูกันสิว่าถ้านำเจลาตินมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา จะเป็นยังไงบ้าง
• เจลาตินในอุตสาหกรรมอาหาร : ถูกนำมาใช้ในการทำอาหารประเภทขนมหวาน เช่น ผลิตภัณฑ์นม เยลลี่ เบเกอรี ไอศกรีม รวมถึงเครื่องดื่มบางชนิดก็ใส่เจลาตินผสมลงไปด้วย
• เจลาตินในอุตสาหกรรมยา : ใช้ในการผลิตแคปซูลทั้งแบบชนิดแข็งและนิ่ม หรือใช้ในการเคลือบเม็ดยา หรือใช้เป็นส่วนผสมเพื่อให้โปรตีนก็ได้เช่นกัน และยังใช้ผลิตวัสดุสังเคราะห์สำหรับการศัลยกรรม
2. ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen)
Hydrolyzed Collagen คือ คอลลาเจนที่ได้ผ่านกระบวนการย่อยบางส่วนมาแล้ว โดยจะเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะได้คอลลาเจนที่มีขนาดเล็กและความยาวสั้น ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ได้ผ่านการย่อยด้วยกรดจนได้ขนาดอนุภาคที่เล็กที่สุด
Hydrolyzed Collagen มีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนในชั้นผิว โดยส่วนใหญ่ก็จะนิยมนำ Hydrolyzed Collagen มารับประทานเป็นวิตามินและอาหารเสริม ในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล สามารถที่ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ผิวชั้นลึกของร่างกายได้ดี นอกจากนี้ Hydrolyzed Collagen ในเครื่องสําอาง เช่น ครีมบำรุงผิวพรรณ ครีมทาหน้า ครีมลดริ้วรอย ครีมบำรุงรอบดวงตา และผลิตภัณฑ์บำรุงผมต่าง ๆ
ประโยชน์ของคอลลาเจน
คำถามที่พบบ่อยมากที่สุดอันดับต้น ๆ เลยก็คือ “คอลลาเจน ช่วยอะไร” ซึ่งบางคนรู้แค่ว่าคอลลาเจนช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทำให้ไม่แก่ก่อนวัยนั่นเอง แต่อยากบอกว่าประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นมีอีกมากมายที่หลายคนอาจไม่รู้ ถ้างั้นมาดูกัน
ประโยชน์ของคอลลาเจนด้านสุขภาพผิว
- ดูแลสุขภาพผิวพรรณให้แลดูอ่อนเยาว์
- เพิ่มความยืดหยุ่น กระชับ เรียบเนียนยิ่งขึ้น
- ป้องกันฝ้า จุดด่างดำต่าง ๆ และลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
- บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดรอยเหี่ยวย่น และช่วยรักษาสิว ลดการอักเสบ
- เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังสามารถป้องกันการสูญเสียน้ำที่ชั้นผิวได้
- ช่วยปกป้องผิวและกรองสารพิษจากสิ่งแวดล้อมและเชื้อโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ประโยชน์ของคอลลาเจนทางการแพทย์
- ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
- ช่วยกระตุ้นการเกิดมวลกล้ามเนื้อ
- บำรุงข้อต่อกระดูก รักษาโรคข้อเสื่อม
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบโลหิต
- ช่วยสลายโปรตีนในร่างกาย และบำรุงภายในลำไส้
- ช่วยบำรุงกระจกตา เพิ่มความชุ่มชื้นในเลนส์ตา ช่วยลดอาการตกแห้งได้
- ทำให้หัวใจแข็งแรง เนื่องจากคอลลาเจนเป็นหนึ่งในโครงสร้างของหลอดเลือดแดง
สาเหตุที่ทำให้คอลลาเจน (Collagen) เสื่อมสภาพ
ถึงแม้คอลลาเจนสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ก็มีวันที่คอลลาเจนเสื่อมประสิทธิภาพลดลง ซึ่งสาเหตุมีด้วยกันหลายปัจจัย
- คนที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่
- มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
- อายุที่เริ่มมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนลดลงน้อย
- นอนพักผ่อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินไม่ครบ 5 หมู่
- ร่างกายได้รับรังสี UV จากแสงแดดมากเกินไป ทำให้ผิวพรรณเสีย
- การรับประทานน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมากจนเกินไป
- สาเหตุหนึ่งอาจมาจากพันธุกรรม ที่เป็นตัวกำหนดปริมาณคอลลาเจนในร่างกาย
ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ คอลลาเจน (Collagen)
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังมีคำถามคาใจเกี่ยวกับคอลลาเจนอยู่บ้าง ดังนั้น วันนี้เราจึงรวบรวมคำถามและคำตอบเกี่ยวกับ คอลลาเจน (Collagen) มีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน
- รับประทานคอลลาเจนในปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน
การรับประทานคอลลาเจนที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่ความต้องการของแต่ละคน ดังนี้
- ต้องการช่วยเรื่องการลดริ้วรอย ควรทานคอลลาเจน 10,000 มก. ต่อวัน
- บำรุงสุขภาพธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เน้นอะไรมาก ควรทานคอลลาเจน 5,000 มก. ต่อวัน
- กรณีผู้สูงอายุต้องการบำรุงรักษากระดูก ควรทานคอลลาเจน 2,500 มก. – 5,000 มก. ต่อวัน
หลายคนน่าจะมีคำถามนี้อยู่ในใจ ก็ต้องบอกว่ามีงานวิจัยบางฉบับกล่าวไว้ว่า การรับประทานคอลลาเจนมีส่วนช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูงมากขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยเพิ่มความหนาแน่นของคอลลาเจนในผิวหนังได้อีกด้วย ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าคอลลาเจนคืออาหารเสริมอีกประเภทหนึ่ง ดังนั้น ควรจะดูแลตัวเองด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่ดีให้ครบ 5 หมู่
- ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนช่วยลดเลือนริ้วรอยได้หรือไม่
โฆษณาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวแบรนด์ต่าง ๆ ได้บอกถึงสรรพคุณว่ามีสามารถลดเลือนริ้วรอย และสามารถช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวหนังได้จริงหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าครีมบำรุงผิวจากคอลลาเจนเมื่อใช้แล้วจะได้ผลลัพธ์ต่อผิวหนังชั้นบนเท่านั้น ซึ่งก็เหมือนกับครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทั่วไป ที่สามารถช่วยได้เพียงแค่ลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้น คอลลาเจน จึงไม่มีประสิทธิภาพในลดการสูญเสียคอลลาเจน หรือลบเลือนริ้วรอยได้นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ คอลลาเจน (Collagen) ที่ได้รวบรวมนำมาฝากกันในบทความนี้ ก็หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านทุกท่าน สำหรับใครที่ต้องการมีสุขภาพผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์ ไม่อยากดูแก่ก่อนวัยอันควร อย่าลืมดูแลสุขภาพผิวตัวเองด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้หมั่นออกกำลังกาย และอาจจะเพิ่มเติมด้วยอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน เพียงแค่นี้จะช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่ดีแล้ว ถ้าใครอยากเป็นเจ้าของแบรนด์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการผลิต สามารถติดต่อสอบถาม หรือใช้บริการ อาร์ แอนด์ ดี อินเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง พร้อมให้บริการผลิตเครื่องสำอางครบวงจร
สามารถทดลองประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้แล้ววันนี้ ที่โรงงานผลิตเครื่องสำอาง R&D Inter
โทร 034-440-258
30 แคปชั่นขายครีมโดนๆ ไว้โพสต์ขายของปี 2023
อยากทําแบรนด์ของตัวเองต้องเริ่มยังไงให้ปัง กำไรเยอะ
เปิด 5 เว็บไซต์ออกแบบโลโก้สุดปังทั้งแบบฟรี และมีค่าใช้จ่ายในปั 2023
เปิดลิสต์รายชื่อเครื่องสําอางอันตราย พร้อมเคล็ดลับการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย
บอกต่อ 5 ขั้นตอนง่ายๆ เปิดคลีนิกความงามให้ปัง
ยุคนี้กระแสความสวยความงามมาแรงแซงทุกธุรกิจ เพราะอิทธิพลจากคนดังมากมายไม่ว่าจะเป็นดารา, นักร้อง, Youtuber และเหล่า Influncer ทั้งหลาย เพราะสมัยนี้การมีภาพลักษณ์ที่ดูดีเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวเองมากขึ้นนั่นเอง ยิ่งสวยไวยิ่งดี ยิ่งเห็นผลชัดเจนยิ่งชอบ!! คลีนิกเสริมความงามจึงเป็นธุรกิจที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจอย่างมาก แต่ก่อนเริ่มธุรกิจเสริมความงามต้องรู้เคล็ดลับเพื่อความปังกันหน่อย อยากรู้เเล้ว…ไปอ่านกันเลย 1. ทำเลที่ตั้งคลีนิกความงาม การเลือกสถานที่ตั้งคลีนิกเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนเปิดคลีนิกเสริมความงาม โดยต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคลีนิกว่าเป็นกลุ่มใด กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา • ควรมองหาทำเลในย่านใกล้สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้แหล่งวัยรุ่น กลุ่มวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ • ควรมองหาทำเลที่มีสะดวกต่อการเดินทาง สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ย่านธุรกิจ บนห้างสรรพสินค้า และควรคำนึงถึงสถานที่สำหรับจอดรถด้วย กลุ่มนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ เซเลปบริตี้ • ควรมองหาสถานที่ที่เดินทางสะดวก มีความเป็นส่วนตัว อยู่ในย่านธุรกิจ และต้องมีสถานที่จอดรถอย่างเพียงพอ 2. ขั้นตอนกฏหมายและเอกสารการจดทะเบียน เป็นขั้นตอนที่สำคัญและยุ่งยากที่สุดในการเปิดคลีนิกเสริมความงาม! เพราะต้องศึกษารายละเอียดข้อบังคับต่าง ๆ อย่างละเอียด เอกสารทั่วไปสำหรับการเปิดคลีนิกเสริมความงาม แพทย์ประจำคลีนิกเสริมความงาม รู้หรือไม่…ไม่ได้เป็นเรียนจบแพทย์ก็เปิดคลีนิกเสริมความงามได้แต่ต้องมีแพทย์ประจำคลีนิก
เครื่องสำอางสมุนไพรไทย ประเทศไหนๆก็หลงรัก
สมุนไพรไทยถือได้ว่าเป็นที่เลื่องลือกันในต่างประเทศ ว่ามีคุณภาพค่อนข้างดี แต่เจ้าของแบรนด์ส่วนใหญ่อาจจะไม่มีงบทางการตลาด และความคิดในการพัฒนาสินค้าให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภค จึงทำให้สินค้าสมุนไพรไทยอาจจะยังคงมีช่องว่าง รอให้แม่ทัพของแบรนด์ที่มีความสามารถไปบุกตลาดต่างประเทศอยู่ โดยในปี 2564 นายกรัฐมนตรีก็ได้ติดตามและพร้อมให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานเพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ฯ เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน โดยสมุนไพรที่ได้รับความนิยมระดับ PRODUCT CHAMPION ได้แก่ ขมิ้นชัน ใบบัวบก เป็นต้น ซึ่งหลายกระทรวงก็เร่งผลักดันเรื่องการพัฒนาคุณภาพ และการขยายตลาดอย่างเช่นกระทรวงพาณิชย์ที่รับผิดชอบเรื่องการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ การจับคู่เจรจาธุรกิจ การออกงานแสดงสินค้า การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสู่ตลาดต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้หากมีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็จะถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางจะมีแรงหนุนส่งเสริม ให้ไปถึงความฝันได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจผลิตเครื่องสำอาง เป็นแบรนด์ของตัวเอง สามารถติดต่อโรงงานผลิตเครื่องสำอางคุณภาพเพื่อปรึกษาการทำแบรนด์ของตัวเองได้ตลอดเวลาทำการ อาร์ แอนด์ ดี อินเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง ยินดีให้บริการค่ะ
3 วิธีรับมือการทำธุรกิจยุคปลาเร็ว กินปลาช้า
5 ปีก่อนคำว่า “ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก” ก็ยังเป็นคำพูดที่เป็นเรื่องปกติ แต่ปัจจุบันพูดได้เต็มปากเลยว่าปลาจะใหญ่แค่ไหนก็แพ้ “ปลาเร็ว” เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี และข้อมูลมหาศาลได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ใช้เพียงความคิดสร้างสรรค์และความเร็วก็สามารถเอาชนะปลาที่มีอายุเยอะและเชื่องช้าได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเรื่องสื่อไม่มากเท่าเดิม เนื่องจากการยิงสื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากประเมินว่าองค์กรเรายังคงเชื่องช้าอยู่ให้ติดสปีดได้โดย 3 กลยุทธ์นี้ 1. ปรับความคิดของแม่ทัพหัวเรือให้ทันสมัย บ่อยครั้งที่เด็กรุ่นใหม่มีไอเดียมานำเสนอให้กับรุ่นพี่ที่เคยทำงานมาก่อน และถูกปฏิเสธบ่อยครั้งจนหมดไฟ และเลิกนำเสนอความคิดใหม่ๆไปเลย นี่ถือได้ว่าเกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสอย่างมากมายมหาศาล เนื่องจากคุณไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่เหล่านั้นเสนอไปเป็นสิ่งที่อาจจะดีก็ได้ ดังนั้นแม่ทัพควรตัดกำแพงส่วนนี้ออกไป แล้วใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการประกอบการตัดสินใจเป็นหลัก 2. ฝึกพนักงานให้คิดเชิงออกแบบ (DESIGN THINKING) ในยุคที่แข่งขันกันด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเร็วนั้น ถือได้ว่าไม่ง่ายเลย โดยสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายนั่นคือ ความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นสิ่งที่ควรฝึกพนักงานทุกคนในองค์กรคือควรคิดอย่างมีระบบ โดยเริ่มจาก 3. นำเทคโนโลยี และระบบต่างๆเข้ามาเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เก็บไปก่อนหน้านี้เพื่อลดระยะเวลาการทำงาน เนื่องจากยุคนี้หากใครมีข้อมูลของลูกค้ามากที่สุดก็ได้เปรียบเนื่องจากเราจะสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้เลยว่าแท้จริงแล้วผู้บริโภคชอบ หรือไม่ชอบอะไร สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจผลิตเครื่องสำอาง เป็นแบรนด์ของตัวเอง สามารถติดต่อโรงงานผลิตเครื่องสำอางคุณภาพเพื่อปรึกษาการทำแบรนด์ของตัวเองได้ตลอดเวลาทำการ อาร์ แอนด์ ดี อินเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง